วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

งานด้าน AI มีอะไรบ้าง?




ในปัจจุบันนี้ความสามารถของ AI มีอะไรบ้าง ? คำถามนี้ตอบได้ยากเพราะมีการนำ AI ไปประยุกต์ใช้กับงานต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม ก็อาจแบ่งกลุ่มของงานทางด้าน AI ได้ดังนี้
1. งานด้านการวางแผนและการจัดตารางเวลาอัตโนมัติ (autonomous planning and scheduling ตัวอย่างที่สำคัญคือ โปรแกรมควบคุมยานอวกาศระยะไกลขององค์การนาซา (NASA)

2. เกม (game playing) เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดีพบลู (Deep Blue) ของบริษัทไอบีเอ็ม เป็นโปรแกรมเล่นเกมหมากรุก สามารถเอาชนะคนที่เล่นหมากรุกได้เก่งที่สุดคือ Garry Kasparov ด้วยคะแนน 3.5 ต่อ 2.5 ในเกมการแข่งขันหาผู้ชนะระดับโลก เมื่อปี ค.ศ. 1997
3. การควบคุมอัตโนมัติ (autonomous control) เช่นระบบ ALVINN (Autonomous Land Vehicle In a Neural Network ) เป็นระบบโปรแกรมที่ทำงานด้านการมองเห็นหรือคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision system) โปรแกรมนี้จะได้รับการสอนให้ควบคุมพวงมาลัยให้รถแล่นอยู่ในช่องทางอัตโนมัติ

4. การวินิจฉัย (diagnosis) เป็นการศึกษาเรื่องสร้างระบบความรู้ของปัญหาเฉพาะอย่าง เช่น การแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ของระบบนี้คือทำให้เสมือนมีมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและคำตอบเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ 
งานวิจัยด้านนี้มีจุดประสงค์หลักว่าเราไม่ต้องพึ่งมนุษย์ในการแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้วระบบผู้เชี่ยวชาญยังต้องพึ่งมนุษย์เพื่อให้ความรู้พื้นฐานในช่วงแรก การจะทำงานวิจัยเรื่องนี้ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การแทนความรู้, การให้เหตุผล และ การเรียนรู้ของเครื่อง ตัวอย่างของงานประภทนี้คือ โปรแกรมการวินิจฉัยโรคหรือระบบผู้เชี่ยวชาญ MYCIN สำหรับโรคที่ติดเชื้อทางเลือด

5. การวางแผนปัญหาที่ซับซ้อน (logistics planning) ตัวอย่างคือ ในปี ค.ศ. 1991 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประสบภาวะวิกฤตที่เรียกว่า Persian Gulf รัฐบาลจึงใช้โปรแกรม DART ในการวางแผน
ุ6. หุ่นยนต์ (robotics) เช่น หุ่นยนต์อาสิโม (ASIMO) หุ่นยนต์จิ๋วช่วยในการผ่าตัด
7. ความเข้าใจในภาษามนุษย์ (language understanding) เช่น โปรแกรม ALICE ผู้เรียนสามารถลองคุยกับอลิซได้ที่เว็บไซต์ http://alicebot.org/
8. การแก้โจทย์ปัญหา (problem solving) เช่นโปรแกรม PROVERB ที่แก้ปัญหาเกมปริศนาอักษรไขว้ ซึ่งทำได้ดีกว่ามนุษย์
ตัวอย่างเหล่านี้เป็นการนำ AI ไปประยุกต์ใช้จริงที่มีแล้วในปัจุบัน มิใช่มีแค่ในฝันหรือในนวนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น





ที่มาจาก : http://www.atom.rmutphysics.com/charud/scibook/computer/evolution/AIApplications.html
                  http://goo.gl/jVCVu

หัวใจของปัญญาประดิษฐ์

  • คอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer vision)
    • เป็นการศึกษาเรื่องการมองเห็น การรู้จำภาพ มีสาขาย่อยเช่น การประมวลผลภาพ (image processing)
  • การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing)
    • เป็นการศึกษาการแปลความหมายจากภาษามนุษย์ มาเป็นความรู้ที่เครื่องจักรเข้าใจได้ สาขานี้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับ ภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ (computational linguistics)
  • การแทนความรู้ (Knowledge representation)
    • เป็นการศึกษาด้านเก็บความรู้ (knowledge) ไว้ในเครื่องจักร โดยมีประเด็นสำคัญคือ
      • ทำอย่างไรจะแสดงความรู้ได้อย่างกระทัดรัด ประหยัดหน่วยความจำ
      • จะนำความรู้ที่เก็บไว้นี้ไปใช้ในการให้เหตุผลอย่างไร ; และ
      • จะมีการเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ ด้วยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง ให้ความรู้ที่ได้อยู่ในรูปแบบความรู้ที่เราออกแบบไว้ได้อย่างไร
    • การแทนความรู้สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก คือ
      • ความรู้ที่แน่นอน (certain knowledge) เช่น การแทนความรู้ด้วยตรรกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น first-order logic หรือ propositional logic
      • ความรู้ที่มีความไม่แน่นอนมาเกี่ยวข้อง (uncertain knowledge) เช่น ฟัซซี่ลอจิก (fuzzy logic) และเครือข่ายแบบเบย์ ( bayesian networks)
  • การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning)
    • เป็นการศึกษากระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้คล้ายมนุษย์ มีสาขาย่อยมากมาย เช่น การสังเคราะห์โปรแกรม (program synthesis)
  • การคิดให้เหตุผล (Inference หรือ automated reasoning)
    • เป็นการคิดให้เหตุผลเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างอัตโนมัติจากความรู้ที่มีอยู่ในเครื่อง การให้เหตุผลด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับการแทนความรู้ของเครื่อง (knowledge representation) โดยตรง เทคนิคที่นิยมใช้กันมากก็คือ การเขียนโปรแกรมเชิงตรรกะ (Logic programming) เมื่อเราแทนความรู้ของเครื่องด้วย first-order logic และ bayesian inference เมื่อเราแทนความรู้ของเครื่องด้วย bayesian networks
  • การวางแผนของเครื่อง (Automated Planning)
  • การค้นหาเชิงการจัด (Combinatorial search)
    • เนื่องจากเวลาเราพยายามแก้ปัญหาในงานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ วิธีมาตรฐานอย่างหนึ่งคือ พยายามมองปัญหาให้อยู่ในรูปปัญหาของการค้นหา การค้นหาจึงเป็นพื้นฐานของการโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์แทบทุกประเภท
  • ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert system)
    • เป็นการศึกษาเรื่องสร้างระบบความรู้ของปัญหาเฉพาะอย่าง เช่น การแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ของระบบนี้คือ ทำให้เสมือนมีมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และคำตอบเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ
    • งานวิจัยด้านนี้มีจุดประสงค์หลักว่า เราไม่ต้องพึ่งมนุษย์ในการแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้ว ระบบผู้เชี่ยวชาญยังต้องพึ่งมนุษย์เพื่อให้ความรู้พื้นฐานในช่วงแรก
    • การจะทำงานวิจัยเรื่องนี้ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การแทนความรู้, การให้เหตุผล และ การเรียนรู้ของเครื่อง (กรอบสีเขียวในรูปข้างบน)

สาขาอื่นที่สำคัญและมีบทบาทมากในปัจจุบัน

  • วิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics)
    • การจะสร้างหุ่นยนต์ที่อาศัยอยู่กับมนุษย์ได้จริง ต้องใช้ความรู้ทางปัญญาประดิษฐ์ทั้งหมด นอกจากนั้นยังต้องใช้ความรู้อื่น ๆ ทางเครื่องกล เพื่อสร้างสรีระให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นเดียวกับมนุษย์
    • ในวงการวิทยการหุ่นยนต์ เขาก็ถือว่าปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาของเขาเช่นกัน

  • ขั้นตอนวิธีเชิงพันธุกรรม (Genetic_algorithm)
    • เป็นการประยุกต์นำแนวความคิดทางด้านการวิวัฒนาการที่มีอยู่ในธรรมชาติ มาใช้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์
    • เป็นขั้นตอนวิธีเชิงสุ่ม (stochastic) (ไม่ได้คำตอบเดิมทุกครั้งที่แก้ปัญหาเดิม)
    • มักประยุกต์ใช้ในปัญหาการหาค่าที่เหมาะสมที่สุด (optimization) ที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีมาตรฐานทางคณิตศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ
    • แนวคิดที่นำเอาหลักการวิวัฒนาการมาใช้นี้ มีรูปแบบอื่นอีกหลายรูปแบบ เช่น การโปรแกรมเชิงพันธุกรรม (genetic programming) และ evolution strategy อย่างไรก็ตามเทคนิคเหล่านี้มีแนวความคิดหลักเหมือนกัน ต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น
  • ข่ายงานประสาทเทียม (Neural_network)
  • ชีวิตประดิษฐ์ (Artificial_life)
    • เป็นการศึกษาพฤติกรรมของชีวิตเทียมที่เราออกแบบและสร้างขึ้น

สาขาอื่นที่ยังไม่มีบทบาทมากนัก

  • ความฉลาดแบบกลุ่ม (Swarm Intelligence)
  • Artificial being

ที่มาจาก:http://goo.gl/Kk1F6
http://goo.gl/oxvXG
http://goo.gl/pXTJG

ระบบที่กระทำอย่างมีเหตุผล (Systems that act rationally)


  1. ปัญญาประดิษฐ์คือการศึกษาเพื่อออกแบบเอเจนต์ที่มีปัญญา ("Computational Intelligence is the study of the design of intelligent agents" [Poole et al., 1998])
  2. AI เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่แสดงปัญญาในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ("AI ... is concerned with intelligent behavior in artifacts" [Nilsson, 1998])
  • หมายเหตุ กระทำอย่างมีเหตุผล เช่น เอเจนต์ (โปรแกรมที่มีความสามารถในการกระทำ หรือเป็นตัวแทนในระบบอัตโนมัติต่าง ๆ) สามารถกระทำอย่างมีเหตุผลเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เช่น เอเจนต์ในระบบขับรถอัตโนมัติ ที่มีเป้าหมายว่าต้องไปถึงเป้าหมายในระยะทางที่สั้นที่สุด ต้องเลือกเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้ จึงจะเรียกได้ว่า เอเจนต์กระทำอย่างมีเหตุผล อีกตัวอย่างเช่น เอเจนต์ในเกมหมากรุก ที่มีเป้าหมายว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ ก็ต้องเลือกเดินหมากที่จะทำให้คู่ต่อสู้แพ้ให้ได้ เป็นต้น



เกมหมากรุกออนไลน์ในระบบ 3D พร้อมด้วย AI พัฒนาด้วยภาษา JAVA





ที่มาจาก : http://www.youtube.com/watch?v=eqd5qSXgFOM
http://www.youtube.com/watch?v=z10EBsneHnE

ระบบที่คิดอย่างมีเหตุผล (Systems that think rationally)


  1. [AI คือ] การศึกษาความสามารถในด้านสติปัญญาโดยการใช้โมเดลการคำนวณ ("The study of mental faculties through the use of computational model." [Charniak and McDermott, 1985])
  2. [AI คือ] การศึกษาวิธีการคำนวณที่สามารถรับรู้ ใช้เหตุผล และกระทำ ("The study of the computations that make it possible to perceive, reason, and act" [Winston, 1992])
  • หมายเหตุ คิดอย่างมีเหตุผล หรือคิดถูกต้อง เช่น ใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ


โปรแกรมที่สามารถกรอกข้อมูลสุขภาพของเราลงไปและโปรแกรมก็จะช่วยวิเคราะห์สุขภาพในเบื้องต้นของเราได้พร้อมวิธีการปฎิบัติตัวและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อไป




โปรแกรมที่ช่วยในการคำนวณภาษี



ที่มาจาก : http://www.youtube.com/watch?v=dBYyVmx1vM0
                http://www.youtube.com/watch?v=CsXw_92oklA
 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C


ระบบที่คิดเหมือนมนุษย์ (Systems that think like humans)







  1. [AI คือ] ความพยายามใหม่อันน่าตื่นเต้นที่จะทำให้คอมพิวเตอร์คิดได้ ... เครื่องจักรที่มีสติปัญญาอย่างครบถ้วนและแท้จริง ("The exciting new effort to make computers think ... machines with minds, in the full and literal sense." [Haugeland, 1985])
  2. [AI คือ กลไกของ]กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความคิดมนุษย์ เช่น การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้ ("[The automation of] activities that we associate with human thinking, activities such as decision-making, problem solving, learning." [Bellman, 1978])
  • หมายเหตุ ก่อนที่จะทำให้เครื่องคิดอย่างมนุษย์ได้ ต้องรู้ก่อนว่ามนุษย์มีกระบวนการคิดอย่างไร ซึ่งการวิเคราะห์ลักษณะการคิดของมนุษย์ เป็นศาสตร์ด้านcognitive science เช่น ศึกษาการเรียงตัวของเซลล์สมองในสามมิติ ศึกษาการถ่ายเทประจุไฟฟ้า และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไฟฟ้าในร่างกาย ระหว่างการคิด ซึ่งจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2548) เราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มนุษย์เรา คิดได้อย่างไร

ขอบคุณที่มาจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C
http://www.youtube.com/watch?v=hYToqSNgrRo
http://www.youtube.com/watch?v=wS6ir0E1gUU

คราวนี้เราจะมาดูAI ตามความสามารถที่มนุษย์ต้องการให้มันแบ่งได้ 4 กลุ่ม ดังนี้


Acting Humanly การกระทำคล้ายมนุษย์  (Systems that act like humans)
 Acting Humanly : การกระทำคล้ายมนุษย์
- สื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อน ๆ ใช้เสียงสั่งให้คอมพิวเตอร์พิมพ์เอกสารให้
-
มีประสาทรับสัมผัสคล้ายมนุษย์ เช่นคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) คอมพิวเตอร์มองเห็น รับภาพได้โดยใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ (sensor)
-
หุ่นยนต์ช่วยงานต่าง ๆ เช่น ดูดฝุ่น เคลื่อนย้ายสิ่งของ
-
machine learning หรือคอมพิวเตอร์เกิดการเรียนรู้ได้ โดยสามารถตรวจจับรูปแบบการเกิดของเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้



 ลักษณะงานของปัญญาประดิษฐ์

1.Cognitive Science     งาน ด้านนี้เน้นงานวิจัยเพื่อศึกษาว่าสมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร และมนุษย์คิดและเรียนรู้อย่างไร
2. Roboics   พื้นฐานของวิศวกรรมและสรีรศาสตร์ เป็นการพยายามสร้างหุ่นยนต็ไห้มีความฉลาดและถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์แต่ สามารถเครื่องไหวได้เหมือนกับมนุษย์
3. Natural Interface    งานด้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นงานหลักที่สำคัญที่สุดของปัญญาประดิษฐ์ และพัฒนาบนพื้นฐานของภาษาศาสตร์ จิตวิทยา และวิทยาการคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยงานด้านต่างๆ
ระบบที่มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ (Natural Language)
ระบบภาพเสมือนจริง (Virtual Reality)
ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบผสมผสาน (Hybrid AI Systems)
ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems)
เป็นระบบที่ช่วยในการแก้ปัญหาหรือช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์




ที่มาจาก:
http://www.atom.rmutphysics.com/charud/scibook/computer/evolution/AI_what.html
http://www.youtube.com/watch?v=vBlHi5u9qUs
http://www.youtube.com/watch?v=mukYv651-KA

AI

AI คืออะไร?




                AI : Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดเองได้ หรือมีปัญญานั่นเอง ปัญญานี้มนุษย์เป็นผู้สร้างให้คอมพิวเตอร์ จึงเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ มุมมองต่อ AI ที่แต่ละคนมีอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการความฉลาดโดย คำนึงถึงพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมหรือคำนึงการคิดได้ของผลผลิต AI 

ไฟล์:HONDA ASIMO.jpg


นิยามของปัญญาประดิษฐ์


มีคำนิยามของปัญญาประดิษฐ์มากมายหลากหลาย ซึ่งสามารถจัดแบ่งออกเป็น 4 ประเภทโดยมองใน 2 มิติ ได้แก่
  • ระหว่าง นิยามที่เน้นระบบที่เลียนแบบมนุษย์ กับ นิยามที่เน้นระบบที่ระบบที่มีเหตุผล (แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนมนุษย์)
  • ระหว่าง นิยามที่เน้นความคิดเป็นหลัก กับ นิยามที่เน้นการกระทำเป็นหลัก
ปัจจุบันงานวิจัยหลักๆ ของ AI จะมีแนวคิดในรูปที่เน้นเหตุผลเป็นหลัก เนื่องจากการนำ AI ไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหา ไม่จำเป็นต้องอาศัยอารมณ์หรือความรู้สึกของมนุษย์ อย่างไรก็ตามนิยามทั้ง 4 ไม่ได้ต่างกันโดยสมบูรณ์ นิยามทั้ง 4 ต่างก็มีส่วนร่วมที่คาบเกี่ยวกันอยู่


Acting Humanly การกระทำคล้ายมนุษย์ เช่น
      -สื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อน ๆ ใช้เสียงสั่งให้คอมพิวเตอร์พิมพ์เอกสารให้
      -มีประสาทรับสัมผัสคล้ายมนุษย์ เช่นคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) คอมพิวเตอร์มองเห็น รับภาพได้โดยใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ (sensor)
      - หุ่นยนต์ช่วยงานต่าง ๆ เช่น ดูดฝุ่น เคลื่อนย้ายสิ่งของ
      - machine learning หรือคอมพิวเตอร์เกิดการเรียนรู้ได้ โดยสามาถตรวจจับรูปแบบการเกิดของเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้
       Thinking Humanly : การคิดคล้ายมนุษย์ ก่อนที่จะทำให้เครื่องคิดอย่างมนุษย์ได้ ต้องรู้ก่อนว่ามนุษย์มีกระบวนการคิดอย่างไร ซึ่งการวิเคราะห์ลักษณะการคิดของมนุษย์เป็นศาสตร์ด้าน cognitive science เช่น ศึกษาโครงสร้างสามมิติของเซลล์สมอง การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมอง วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไฟฟ้าในร่างกายระหว่างการคิด ซึ่งจนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มนุษย์เรา คิดได้อย่างไร
       Thinking rationally : คิดอย่างมีเหตุผล หรือคิดถูกต้อง โดยใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ
       Acting rationally : กระทำอย่างมีเหตุผล เช่น agent (agent เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการกระทำ หรือเป็นตัวแทนในระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ) สามารถกระทำอย่างมีเหตุผลคือ agent ที่กระทำการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เช่น agent ในระบบขับรถอัตโนมัติที่มีเป้าหมายว่าต้องไปถึงเป้าหมายในระยะทางที่สั้นที่สุด ต้องเลือกเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้จึงจะเรียกได้ว่า agent กระทำอย่างมีเหตุผล อีกตัวอย่างเช่น agent ในเกมหมากรุกมีเป้าหมายว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ ต้องเลือกเดินหมากที่จะทำให้คู่ต่อสู้แพ้ให้ได้ เป็นต้น




ขอบคุณที่มาจาก:http://www.atom.rmutphysics.com/charud/scibook/computer/evolution/AIApplications.html
                          http://goo.gl/5QoOs
                          http://goo.gl/TpwkF

แนวคิดของทฤษฎีประมวลสารสนเทศ

          นักจิตวิทยากลุ่มประมวลสารสนเทศ เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงความรู้ของผู้เรียนทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพหรือกล่าวได้ว่านอกจากผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ มีปริมาณที่เพิ่มขึ้นแล้ว ผู้เรียนยังสามารถจัดหมวดหมู่ หรือจัดระบบ เรียบเรียง รวบรวม เพื่อให้สามารถเรียกความรู้เหล่านั้นมาใช้ได้ในเวลาที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถควบคุมอัตราความเร็วในการเรียนรู้ตลอดจนขั้นตอนของการเรียนได้
 นักทฤษฎีประมวลสารสนเทศมุ่งเน้นที่จะศึกษาในเรื่องต่อไปนี้คือ   
1) ความใส่ใจ (Attention)  
2) กลยุทธ์การเรียนรู้ (Learning Strategies)  
3) พื้นฐานความรู้ (Knowledge Base)  
4) ความรู้เกี่ยวกับการรู้คิดของตนเอง (Metacognition) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีนี้เพราะเหตุผลที่ว่าการทำงานของระบบต่าง ๆในการประมวลสารสนเทศ เช่น ความใส่ใจ การลงรหัสข้อมูล ตลอดจนการเรียกข้อมูลมาใช้นั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรู้คิดของตนเอง (Meatacognition) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้

 ดังนั้น ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ(Information Processing) มุ่งเน้นที่จะศึกษา กระบวนการคิด ลำดับขั้นของการประมวลข่าวสาร และการเรียกความรู้ต่างๆ(retrieve) จากความจำระยะยาวมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังขั้นตอนการประมวลสารสนเทศของมนุษย์ ของ คลอสไมเออร์ (Klausmeier, H.J.1985)ได้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ดังนี้
         1. การบันทึกผัสสะ (Sensory register)
         2. ความจำระยะสั้น (Short-term Memory)
         3. ความจำระยะยาว (Long-term Memory)

Learning theory-7






วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

การทำงานของคอมพิวเตอร์

             ก่อนจะเข้าสู่การเชื่อมโยงการคิดของมนุษย์และระบบของคอมพิวเตอร์  วันนี้เรามาทำความรู้จักกับระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยย่อๆๆกันก่อนดีกว่าค่ะ


 การทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบการทำงานที่เรียกว่า  "วงจร  ไอพีโอ"  (IPO)    ย่อมาจากคำว่า  
                                                    I          ย่อมาจาก      Input
                                                    P         ย่อมาจาก      Process
                                                    O         ย่อมาจาก      Output
                ในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์   เครื่องคอมพิวเตอร์มีการทำงานหลักอยู่  3  ขั้นตอนดังนี้
               
 1. การนำข้อมูลเข้า (Input)   เป็นการป้อนข้อมูลเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านแป้นพิมพ์ (Keyboard)  หรือเมาส์ (Mouse)
              
  2. การประมวลผล (Process)  เมื่อนำข้อมูลเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว  เครื่องก็จะดำเนินการกับข้อมูลตามที่ได้รับ  โดยใช้หน่วยประมวลผลกลาง  หรือ CPU เป็นตัวประมวลผลข้อมูล
                 
3.ข้อมูลผลลัพธ์ หรือการแสดงผลข้อมูล (Output) เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลเสร็จ  เครื่องก็จะ  แสดงผลลัพธ์ที่ประมวลผลได้ให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ดูผลที่เกิดขึ้น  โดยจะแสดงผลลัพธ์ออกมาทางจอภาพ (Monitor)  หรือเครื่องพิมพ์ (Printer) หรือบางครั้งแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นเสียงโดยผ่านทางลำโพง (Speaker)   เป็นต้น
 รูปภาพแสดงระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ 




ขอบคุณสาระดีๆจาก:http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/ubon/anocha_s/ipst2456/unit3.htm

เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน


เปรียบเทียบการทำงานส่วนประกอบคอมพิวเตอร์กับการทำงานอวัยวะของคน


อวัยวะของคนที่ทำหน้าที่ช่วยในการประมวลผล

              1. อวัยวะในการรับรู้ข้อมูลของคนมีหลายอย่างดังนี้

                    1.1  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยมือ  เช่น  รับรู้ว่าร้อนหรือเย็น   แข็ง หรือ  อ่อนนุ่ม   เรียบหรือขรุขระ
                    1.2  การรับรู้จากการสัมผัสดวยลิ้น   เช่น  รับรู้ว่าร้อนหรือเย็น  รับรู้รสต่างๆ 
                    1.3  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยตา    เช่น  การรู้ด้วยการมองเห็นภาพ   ตัวอักษร  หรือตัวเลข
                    1.4  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยหู     เช่น   รับรู้ด้วยการได้ยิน  ได้ฟังเสียง
                    1.5  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยจมูก   เช่น  รับรู้ด้วยการได้กลิ่นต่างๆ  
              2. อวัยวะในการคิดประมวลผลของคน  คือ  สมอง และความรู้สึกที่จดจำไว้ในสมอง
              3. อวัยวะในการโต้ตอบหรือแสดงผล  มีหลายอย่าง  ดังนี้ 
                    3.1 การโต้ตอบหรือแสดงผลทางปาก   เช่น  การแสดงคำตอบด้วยการพูด
                    3.2 การโต้ตอบหรือแสดงผลทางมือหรือร่างกาย   เช่น  การแสดงคำตอบด้วยภาษามือ   ภาษาท่าทาง  การเขียนคำตอบลงกระดาษ  ฯลฯ
                    3.3 การโต้ตอบหรือแสดงผลทางสีหน้า   เช่น   การแสดงคำตอบด้วยสีหน้า   ท่าทาง





ตารางเปรียบเทียบอวัยะคนกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ขั้นตอนอวัยวะของคนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
รับรู้ตา
มือ
หู
 จมูก
ลิ้น
แป้นพิมพ์ (Keyboard)
เมาส์ (Mouse)
เครื่องสแกนภาพ (Scanner)
เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก
(Magnetic Card Reader)
อุปกรณ์แปลงสัญญาณเสียง
(Multimedia
คิดสมองหน่วยประมวลผลกลาง
(CPU : Central Processing Unit)
โต้ตอบปาก
มือ
ร่างกาย
จอภาพ (Monitor)
เครื่องพิมพ์ (Printer)
ลำโพง  หูฟัง  (Speaker)





ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/ubon/anocha_s/ipst2456/unit4_2.htm#เปรียบเทียบการทำงานส่วนประกอบคอมพิวเตอร์กับการท
http://teemtaro.blogspot.com/2011/02/blog-post_09.html

การรู้คิดของมนุษย์และคอมพิวเตอร์

การรู้คิดของมนุษย์และคอมพิวเตอร์

วันนี้เราจะมาดูการคิดของมนุษย์กับคอมพิวเตอร์กันนะค่ะ ว่ามีส่วนเหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหนบ้าง

                                    คนเรามีหลักการทำงานเป็น  3  ขั้นตอน  คือ    รับรู้   คิด  และโต้ตอบ
  
         รับรู้           คือ   การรับข้อมูลเข้าสู่ในร่างกายทางอวัยวะต่างๆ
         
คิด             คือ   การคิดหรือประมวลผลภายในสมอง
        
โต้ตอบ       คือ   การแสดงผลลัพธ์หรือปฏิกิริยาโต้ตอบทางร่างกาย   เช่น  ถ้าเราเอามือของเราไปแตะแก้วที่ใส่น้ำร้อนจัด  จะรับรู้ถึงความร้อนที่ผ่านจากแก้วมาที่มือแล้วส่งความรู้สึกไปที่สมอง   สมองเราก็จะคิดว่าร้อนมาก  และสั่งว่าต้องรีบเอามือออก  ปฏิกิริยาโต้ตอบของเราก็คือ   รีบเอามือออกจากแก้วน้ำร้อนนั้น


  
 หรือถ้าครูให้โจทย์คณิตศาสตร์นักเรียนมาหนึ่งข้อ  คือ  ให้หาคำตอบของ  10  บวก  10  ให้นักเรียนคิดหาคำตอบและตอบครู  นักเรียนจะมีวิธีการขั้นตอนทำงานดังนี้
การทำงานของคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายกับคน  คือ  รับรู้   คิด  และโต้ตอบ เป็น  3  ขั้นตอนเช่นกัน    แต่เครื่องคอมพิวเตอร์มีอวัยวะในการรับรู้   คิด และโต้ตอบต่างจากคน คือ
         
               รับรู้ข้อมูลที่ป้อนผ่านทางแป้นพิมพ์              คิดประมวลผลด้วยหน่วยประมวล                โต้ตอบหรือแสดผลลัพธ์  

ที่เปรียบเหมือนอวัยวะรับรู้ของ        ===>    ผลกลางที่เปรียบเหมือนสมองของ  ===>  ผ่านทางจอภาพที่เปรียบ  เหมือน          
ครื่องคอมพิวเตอร์  โดยพิมพ์                     เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการ                    อวัยวะโต้ตอบของเครื่องคอม

  10 + 10  ทางแป้นพิมพ์                             คำนวณ  10 + 10 = 20                           พิวเตอร์แสดงคำตอบ 20
 



ขอขอบคุณที่มาจาก:http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/ubon/anocha_s/ipst2456/unit4.htm

ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้


ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้


นิทานเรื่องยายเช้าปากกว้าง 



            ยายเช้าปากกว้างชอบหัวเราะโดยไม่ปิดปากอยู่เสมอ วันหนึ่งขณะที่แกกำลังหัวเราะ ตั๊กแตนตัวหนึ่งบินเข้าไปในปากของแก มันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อกกระแด๊ก ยายเช้าตกใจมากรีบไปปรึกษาเพื่อนชื่อยายสาย ยายสายแนะนำให้ยายเช้ากลืนนกเข้าไป นกจะได้จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนจะได้ตาย ยายเช้าทำตามคำแนะนำของเพื่อน แต่นกไม่จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนก็ไม่ตาย ทั้งนกและตั๊กแตน พากันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อกกระแด๊ก ยายเช้าตะโกนบอกยายสายว่า "ยายสายฉันทำตามที่เธอบอกแล้วแต่นกและตั๊กแตนไม่ตาย ทำอย่างไรดีล่ะ" "กลืนแมวอีกตัวซิ มันจะได้กัดนก นกจะได้จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนจะได้ตาย" ยายสายแนะนำ ยายเช้ารีบทำตาม แต่แมวก็ไม่กัดนก นกไม่จิกตั๊กแตน ตั๊กแตนก็ไม่ตาย ทั้งแมว นก และตั๊กแตน ดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อกกระแด๊ก อยู่ในท้องของยายเช้า..



      จากแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง หลากถ้อยร้อยคำ ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด ด้งนี้
      1. ให้นักเรียนยกตัวอย่าง คำนาม คำสรรพนาม และคำกริยา เป็นการฝึกทักษะการคิด การสำรวจ การแยกแยะ และการจัดหมวดหมู่
      2. ให้นักเรียนอภิปรายการใช้คำนาม คำสรรพนาม และคำกริยา เป็นการฝึกให้ผู้เรียนใช้ทักษะการคิด การอภิปราย
      3. ให้นักเรียนช่วยกันสรุปความหมายของการใช้คำนาม คำสรรพนามและคำกริยา เป็นการฝึกทักษะการคิด การสรุป การให้คำจำกัดความ
      4. แบ่งหล่มนักเรียนให้นำคำนาม คำสรรพนามและคำกริยา มาแต่งเป็นประโยค เป็นการฝึกทักษะการคิด การเรียบเรียง การจัดลำดับ การเชื่อมโยง
      5. ให้นำคำนาม คำสรรพนามและคำกริยา มาแต่งนิทานหรือบทสนทนาตามจินตนาการ และจัดทำเป็นหนังสือเล่มเล็ก เป็นการฝึกทักษะการคิด การจินตนาการ การเรียบเรียง การปฏิบัติงาน
      6. ให้นักเรียนเขียนคำศัพท์จากนิทานเรื่องยายเช้าปากกว้างเป็นภาษาอังกฤษ และแต่งประโยคด้วย เป็นการฝึกทักษะการคิด การสำรวจ การแยกแยะและการเชื่อมโยง
      บทบาทของครู
      1. เป็นผู้จัดการเรียนรู้
      2. เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียน
      3. เป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิด
      4. เป็นผู้จัดลำดับกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิด
      5. เป็นผู้ตรวจสอบและประเมินความสามารถในการคิดของผู้เรียน
      บทบาทของผู้เรียน
      1. มีความกระตือรือร้นในการเรียน
      2. ทำกิจกรรมที่ครูผู้สอนจัดไว้ให้ด้วยความสนใจและตั้งใจ
      3. ศึกษา ค้นคว้า ด้วยตนเอง ระดมสมอง ร่วมคิด ร่วมทำ ให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียน
      4. ใช้ทักษะการคิด ลักษะการคิดและกระบวนการคิดที่เหมาะสม
      5. ร่วมตรวจสอบและประเมินความสามารถในการคิดของตนเองและเพื่อนร่วมชั้น
      ดังนั้น ครูผู้สอนจะต้องเตรียมการจัดการเรียนรู้ให้พร้อม จะต้องวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา และจัดกิจกรรมตามลำดับจากทักษะการคิดขั้นพื้นฐานไปจนถึงทักษะการคิดขั้นสูง หรือลักษณะการคิด กระบวนการคิด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาที่จะสอน วัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น การสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดจึงใช้ได้กับทุกวิชา และกับผู้เรียนทุกวัย ขึ้นอยู่ที่การจัดกิจกรรมที่เหมาะสม


ขอขอบคุณที่มาดีๆจาก:http://www.thaigoodview.com/node/15496

การคิดและการสอนเพื่อพัฒนาการคิด


วันนี้ของนำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของตัวเองหน่อยนะค่ะ ^______^

การคิดและการสอนเพื่อพัฒนาการคิด


การใช้ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมากต่อการดำเนินชีวิต ผู้ที่มีความคิดเฉียบแหลม ทันสมัย ไม่เหมือนใคร คิดได้ก่อนใครจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบในทุก ๆ ด้าน สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและประสบผลสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน



            ความคิดของมนุษย์เป็นผลที่เกิดจากกลไกของสมองซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเป็นไปตามธรรมชาติ ผลของการใช้ความคิดจะแสดงให้เห็นในลักษณะของการสรุปเป็นความคิดรวบยอด การจำแนกความแตกต่าง การจัดกลุ่ม การจัดระบบการแปลความหมายของข้อมูล รวมทั้งการสรุปอ้างอิง การเชื่อมโยงสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับข้อมูลที่ได้มา อาจเป็นความจริงที่สัมผัสได้ หรือเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่อาจสัมผัสได้ ดังนั้น สมองจึงควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและคุณภาพของสมองมิได้อยู่ที่การมีสมองเท่านั้น แต่อยู่ที่การใช้สมองเป็นสำคัญ การฝึกทักษะกระบวนการคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เยาวชนควรได้รับ การพัฒนาเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข 

            แนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กล่าวถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นฝึกฝนทักษะสำคัญ คือ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา 
      การจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็นทำเป็น ใฝ่เรียนใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงเป็นภาระงานที่สำคัญยิ่ง และมีคุณค่าต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคของการปฏิรูปการเรียนรู้