วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลอย..ลอยกระทง

ลอยกระทง

ประวัติการลอยกระทง ประวัติวันลอยกระทง
          วันลอยกระทง การ ลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท อันที่จริงลอยกระทงเป็นประเพณีขอขมาธรรมชาติมาแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะชาวบ้านทั่วไปรู้จากประสบการณ์ว่า ถึงเดือนสิบเอ็ด (หรือราวเดือนตุลาคม) น้ำจะขึ้นนองหลาก,พอถึงเดือนสิบสอง (หรือราวเดือนพฤศจิกายน) น้ำจะทรงตัวคือไม่ขึ้นไม่ลง,ครั้นเดือนอ้าย (หรือราวเดือนธันวาคม) ต่อเดือนยี่ (หรือราวเดือนมกราคม) น้ำจะลดลง



กิจกรรมวันลอยกระทง
  1. นำกระทงไปลอยตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี
  2. ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในวันลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ การละเล่นพื้นเมือง เช่น รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
  3. จัดนิทรรศการ หรือพิธีลอยกระทง เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ประเพณีไทย
  4. จัดรณรงค์ให้มีการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำกระทง เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะแก่แม่น้ำลำคลอง



เหตุผลในการลอยกระทง
  1. เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทและบูชาเทพเจ้า ตามคติความเชื่อ
  2. เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา
  3. เพื่อรู้ถึงคุณค่าของน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต



    สำหรับในปีนี้ฉันได้มีโอกาสมาทำกิจกรรมในวันลอยกระทงกับทางมหาวิทยาลัย  ในตอนบ่ายได้มีการมาเดินขบวนแห่นางนพมาศของคณะไปที่บึงสีฐาน



    บรรยากาศ ณ บึงสีฐาน เวลาประมาณห้าโมงเย็น ผู้คนเริ่มเดินทางมาลอยกระทงกันบ้างแล้ว ในบึงจะมีกระทงของแต่ละคณะที่นำมาประกวดลอยอยู่ในแต่ละจุดเพื่อให้ผู้คนที่มาร่วมงานได้ชมกัน

    ล้อบวงเพิ่มพลังกันก่อนไปลอยกระทง ^^
    7คนกับ1กระทง 





บรรยากาศภายในงานมีทั้งร้านค้า เครื่องเล่นต่างๆมากมาย


และนี้ก็คือสาระดีๆเกี่ยวกับวันลอยกระทงและกิจกรรมที่ฉันได้ทำในวันลอยกระทงปี 2555นี้ ไม่มีคำพูดใดๆจะสามารถอธิบายความประทับใจในครั้งนี้ได้หมดนอกจาก ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ไม่ทำให้ฉันเหงาในวันนี้ ขอบคุณค๊าาาาา ^______^








ขอบคุณที่มาจาก:http://www.tlcthai.com/education/history-of-thailand/4551.html

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


เทคนิคการสร้างความคิดอนาคต 

การสร้างความคิดอนาคต สามารถใช้เทคนิค ดังนี้ค่ะ




1 เสริมเพิ่มกำลังใจให้มีส่วนร่วมตัดสินใจ ให้บุคคลกล้าแสดงออกทางความคิด


2 ขจัดความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ กลัวความล้มเหลว กลัวความผิดหวัง กลัวความผิดพลาด ทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดเลย


3 ฝึกเพื่อที่จะให้เกิดความพร้อม เตรียมตัวที่จะเสี่ยงและยอมรับความผิดพลาด พร้อมกับเรียนรู้ความผิดพลาดอย่างมีเหตุมีผล


4 ใช้เป็นแบบอย่างในการมุ่งมั่นในการทำงาน มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ซึ่งสามารถยอมรับและแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี


5 ฝึกการเป็นผู้มีความตระหนัก วางแผนงาน การเตรียมความพร้อมในการรับสถานะการณ์ต่างๆๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


6 สร้างบริบทและบรรยากาศรอบตัวให้พร้อมในการเรียนและการทำงาน เพื่อการกระตุ้นความคิดและการทำงานของผู้เรียน 


7 สร้างโอกาสทางการศึกษา การค้นคว้า วิจัย และการค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่ตนเอง และสังคม


8 ฝึกให้คนมีใจกว้าง รับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาสู่ความคิด ยอมรับสังคมรอบด้าน ยอมรับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคติ


9 สร้างแผนงานในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย และการทำงานทุกครั้งต้องมีแผนงานสำรองไว้ด้วย 


10 จัดทำโครงงานที่ส่งเสริม พัฒนา แนวความคิดอนาคตโดยเฉพาะ อย่างเหมาะสมแก่วัย



ขอบคุณที่มาจาก http://www.baanmaha.com/community/thread27307.html

 

การคิดเชิงอนาคต  


มีประโยชน์มากและจำเป็นอย่างยิ่ง...เพราะเป็นการคาดการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม...การคิดเชิงอนาคตมีหลายวิธี  แต่ใช้วิธีที่เหมาะสมและประกอบด้วย 6 หลัก ดังนี้...

             1. หลักการมองอย่างองค์รวม (Holistic Approach)  ต้องมองทุกด้านที่เกี่ยวข้องกัน

             2. หลักความต่อเนื่อง (Continuity) การคาดการณ์ในอนาคตต้องคาดการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กัน

             3. หลักความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (Causal Relationship)  การคิดเชิงอนาคตไม่ใช่เป็นการคิดแบบเดาสุ่ม  แต่เป็นหลักของความคิดแบบมีความสัมพันธ์อย่างมีเหตุผลได้

             4. หลักการอุปมา (Analogy)  โดยยึดหลักว่า  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ในโลกนี้ล้วนมีแบบแผน ล้วนดำเนินไปอย่างมีระบบ เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นก็มักจะเกิดเหตุการณ์อื่นตามมาด้วย

             5. หลักการจินตนาการ (Imagination) การใช้จินตนาการเป็นการที่ทำให้การวาดภาพได้ในอนาคตเป็นการท้าทาย การจะใช้หลักจินตนาการเราต้องใช้หลักเหตุผล เพื่อที่จะให้การจินตนาการไม่ไร้หลักการ

             6. หลักดุลยภาพ (Equilibrium) เป็นหลักการที่บอกว่าในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องปรับเข้าหาส่วนดีเสมอ หากมีการเสียสมดุลย์เกิดขึ้นระบบก็จะพยายามปรับให้เกิดความสมดุลย์แก่ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความสมดุลย์ทางด้านเศรษฐกิจ ความสมดุลย์ในร่างกายของเราเอง

             สรุป  :  การคิดเชิงอนาคตนั้น  ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า...  เป็นการคิดถึงเรื่องในอนาคต โดยเราต้องมองในทุก ๆ ด้านที่มีความเกี่ยงข้องกัน...ซึ่งต้องมองแบบต่อเนื่อง...หลักในการคิดต้องคิดอย่างมีเหตุมีผล...ไม่ใช่การคาดคะเน...น่าจะเป็น หรือเดาสุ่ม น่าจะมีความสัมพันธ์กันอย่างมีเหตุผล...ยึดหลักว่าเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นมักมีแบบแผน เป็นไปอย่างมีระบบ คือ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นและก็จะมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งตามมา...เป็นการใช้จินตนาการแบบมีหลักการเป็นการวาดภาพในอนาคต...โดยยึดหลักของความเป็นจริง...



ขอบคุณที่มาจาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/386684